วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555


จูล่ง "สุภาพบุรุษจากเสียงสัน"
บุคคลที่โดดเด่นทั้งคุณธรรมและความสามารถ ต้องยกให้ จูล่ง หนึ่งในห้าขุนพลทหารเสือของท่านเล่าปี่ เป็นตัวละครหนึ่งเดียวในเรื่องสามก๊กที่ไม่มีใครในยุคหลังหาจุดด่างพร้อยใน ประวัติชีวิตและการกระทำของท่านได้ นอกจากนี้คุณธรรมที่แสดงออกมาและได้รับบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็เป็นความ จริงใจที่มิได้เกิดจากการเสแสร้ง
จู ล่ง ได้รับฉายาว่าเป็น "สุภาพบุรุษจากเสียงสัน" เกิดที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสัน มีแซ่เตียว (จ้าว) แต่ไม่มีใครเรียกว่า เตียวจูล่ง สูงประมาณ 6 ศอก (1.89 เมตร) หน้าผากกว้างดั่งเสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้างบ่งบอกถึงนิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมเกราะเงิน ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ พาหนะคู่ใจ คือ ม้าสีขาว
จู ล่งเดิมเป็นชาวเมืองเสียงสัน ต่อมาได้มาเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวเป็นคนที่หยาบช้า ไร้น้ำใจ จูล่งจึงหนีไปอยู่กับกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเพ้ง โดยที่ขณะนั้นกองซุนจ้านได้ทำศึกกับอ้วนเสี้ยว จูล่งยังได้ช่วยชีวิตกองซุนจ้านไว้แล้วสู้กับบุนทิวถึง 60 เพลง จนบุนทิวหนีไป ต่อมาจูล่งได้มีโอกาสรู้จักกับเล่าปี่ ทั้งสองต่างเลื่อมใสซึ่งกันและกัน เมื่อกองซุนจ้านฆ่าตัวตายเพราะแพ้อ้วนเสี้ยว จูล่งจึงได้ร่อนเร่พเนจรจนมาถึงเขาโงจิวสัน ซึ่งมีโจรป่ากลุ่มหนึ่งมีหุยง่วนเสียวเป็นหัวหน้า หุยง่วนเสียวคิดชิงม้าจากจูล่ง จูล่งจึงฆ่าหุยง่วนเสียวตายแล้วได้เป็นหัวหน้าโจรป่าแทน ต่อมากวนอูได้ใช้ให้จิวฉองมาตามหุยง่วนเสียวและโจรป่าไปช่วยรบ จิวฉองเมื่อเห็นจูล่งคุมโจรป่าจึงคิดว่า จูล่งคิดร้ายฆ่าหุยง่วนเสียว จิวฉองจึงตะบันม้าเข้ารบกับจูล่ง ปรากฏว่าจิวฉองต้องกลับไปหากวนอูในสภาพเลือดโทรมกาย ถูกแทงถึง 3 แผล จิวฉองเล่าว่าคนผู้นี้มีฝีมือระดับลิโป้ ดังนั้นกวนอูกับเล่าปี่จึงต้องรุดไปดูด้วยตนเอง แต่เมื่อได้พบกันจูล่งก็เล่าความจริงทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาจูล่งก็ได้เป็นทหารเอกของเล่าปี่
จูล่งสร้างวีรกรรมครั้งสำคัญคือ ฝ่าทัพรับอาเต๊า บุตรชายของเล่าปี่ที่เกิดจากนางกำฮูหยิน ซึ่งพลัดหลงกับเล่าปี่ที่ทุ่งเตียงบันโบ๋ จูล่งทำการครั้งนี้เพียงคนเดียว ท่ามกลางทหารและองครักษ์มากมายของโจโฉที่ยกทัพลงทางใต้หวังรวบรวมแผ่นดิน และได้ฆ่าทหารเอกและทหารเลว ของโจโฉมากมาย ตั้งแต่ 03.00 น. จนถึง 15.00 น. ของอีกวัน และบุกไปชิงตัวอาเต๊าคืนมาจากซุนฮูหยิน ที่ต้องกลของซุนกวนหวังจะดึงไปเป็นตัวประกันที่ง่อก๊ก

ยอดทหารโดยแท้จริง
ความ เก่งกล้าเกรียงไกรของนักรบผู้นี้ โดดเด่นจนกระทั่งยอดนักรบด้วยกันยังคาราวะ ครั้งหนึ่งในคราวที่รบกับเล่าเจี้ยง เล่าปี่ได้ม้าเฉียวซึ่งเป็นยอดขุนศึกหนุ่มรุ่นใหม่มาเข้าเป็นพวก ม้าเฉียวเป็นทายาทของม้าเท้ง ผู้นำแห่งเสเหลียงซึ่งเป็นดินแดนแถบตะวันตกตกเฉียงเหนือของประเทศ ได้ถูกโจโฉฆ่าตาย ตัวเขาจึงนำกองทัพบุกเมืองเตียงฮันของโจโฉเพื่อแก้แค้นให้บิดา แต่พ่ายแพ้จึงหนีเข้าเขตแดนเสฉวน และด้วยแผนการของขงเบ้งก็ทำให้เขายอมสวามิภักดิ์ต่อเล่าปี่ กล่าวกันว่า ม้าเฉียวนั้นเป็นยอดขุนพลหนุ่มที่มีความเก่งกล้ามาก สามารถรบเสมอกับเคาทูทหารเอกของโจโฉ จนโจโฉถึงกับออกปากชมว่าม้าเฉียวนั้นห้าวหาญดุจลิโป้ในวัยหนุ่ม ลิโป้นั้นคือยอดขุนพลที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในยุคนั้น บางคนถึงกับยกให้เป็นเทพแห่งสงคราม เมื่อเล่าปี่ได้ม้าเฉียวมาร่วมศึกจึงดีใจมากจัดการเลี้ยง ฉลองใหญ่ ขณะที่กำลังกินเลี้ยงอยู่นั้น ทหารเล่าเจี้ยงก็ยกทัพมาพอดี จูล่งจึงอาสาลงไปรบ ใช้เวลาเพียง 3 นาที เมื่อเล่าปี่ร้องเรียกอาหารมาเสิร์ฟ จูล่งก็ได้หัวของขุนพลฝ่ายตรงข้ามมาฉลองชัย ม้าเฉียวซึ่งอยู่ในงาน เลี้ยงด้วยถึงกับตะลึงว่า จะมีคนที่ทำสงครามเยี่ยมยุทธได้ปานนี้ เพราะสภาพของจูล่งที่เดินกลับเข้ามานั้นยังคงเหมือนเมื่อตอนที่เดินออกไปทุก ประการ ไม่มีบาดแผลหรือเหงื่อแม้สักหยด หน้าตายังคงสะอาดสะอ้านเรียบร้อยดูไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะไปออกรบมาสักนิด ม้าเฉียวจึงนึกชื่นชมจูล่งว่าเป็นยอดทหารโดยแท้จริง
ความ เก่งกล้าของจูล่ง คือ ภาพแห่งสมรภูมิที่สวยงามที่สุด ภาพของบุรุษยอดนักรบควบม้าขาวที่ตะลุยไปทางไหน ทหารฝ่ายข้าศึกก็แตกฮือเมื่อนั้น เป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกแล้วในสมรภูมิใด แม้แต่จอมทัพฝ่ายศัตรูตัวฉกาจอย่างโจโฉ ถึงกับหลุดปากออกมาว่า ไอ้นี่มันช่างเป็นยอดเสือจริงๆ
ขุนศึกผู้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์
เรื่อง ความซื่อสัตย์ของจูล่งนั้น ปรากฏเป็นที่ประทับใจแก่เล่าปี่ ตั้งแต่ครั้งที่ยังพบกันไม่นาน เล่าปี่ประทับใจในความเก่งกาจและความสุภาพชนของจูล่งมาก จึงพยายามทาบทามจูล่งให้มาอยู่ด้วยกันกับตน ตัวจูล่งเองก็รู้สึกประทับใจอะไรบางอย่างในตัวเล่าปี่เช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ตนได้พูดไปแล้วว่าจะรับใช้กองซุน จ้าน จึงไม่ควรกลับคำพูด ซึ่งทำให้เล่าปี่ประทับใจในคุณธรรมของเขามากขึ้นไปอีก ภายหลังต้องลาจากเล่าปี่กลับไปช่วยงานกองซุนจ้านที่กำลังเตรียมรบกับอ้วน เสี้ยว ซึ่งก่อนลานั้นเล่าปี่ถึงกับร้องไห้หนักที่ต้องจากจูล่ง ซึ่งจูล่งเองนั้นคงจะประทับใจมากจนพูดในแสดงเจตนาว่า หากกองซุนจ้านต้องมีอันเป็นไป เขาจะขอมาอยู่กับเล่าปี่แทน ในความรู้สึกของจูล่งขณะนั้น คิดว่าตนเองได้พบนายที่แท้จริงแล้ว
ภาย หลังเมื่อกองซุนจ้านทำตัวเหลวแหลกเมื่อตอนแก่และต้องฆ่าตัวตายพร้อมกับลูก เมียอย่างน่าเศร้า ในคราวที่อ้วนเสี้ยวยกทัพใหญ่มาประชิดเมือง จูล่งได้พบกับเล่าปี่ ที่หนีจากอ้วนเสี้ยวมา และได้เข้าร่วมกับเล่าปี่ นับจากนี้เป็นต้นไปจูล่งก็ได้อยู่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของเล่าปี่และครอบ ครัวตราบไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
จูล่ง กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
จู ล่ง กล้าเตือนและให้สติเจ้านาย เมื่อเห็นว่า เริ่มออกนอกทาง มีคราวหนึ่ง เล่าปี่ได้แต่งงานและลุ่มหลงในความงามของนางซุนหยิน และเพลิดเพลินอยู่กับความสำราญที่ทางซุนกวนปรนเปรอให้ ซึ่งเล่าปี่นั้นไม่เคยได้รับมาก่อนก็ทำให้เล่าปี่ไม่ได้สนใจกิจการสงครามอีก จนเวลาผ่านไปถึงครึ่งปี ร้อนจนจูล่งต้องกล่าวเตือนสติ ซึ่งเมื่อเล่าปี่ ได้คิดและคิดได้ จึงตัดสินใจกลับมาเกงจิ๋ว ในตอนที่เล่า ปี่จะหนีจากมานั้นได้ถูกทหารของซุนกวนสกัดไว้ แต่นางซุนหยินซึ่งได้เข้าข้างสามีมากกว่าพี่ชายนั้น ได้ด่าว่าจนทหารเหล่านั้นต้องยอมกลับไป และขงเบ้งก็ได้ส่งเรือเล็กมารอรับเล่าปี่ตามที่นัดแนะกับจูล่งไว้ล่วงหน้า

ถ้าจะเป็นนักสู้ จงสู้อย่าง "จูล่ง"สู้ด้วยเกียรติและอุดมการณ์
 

จูล่ง ขุนศึกผู้ไม่เห็นแก่ลาภยศ
ใน ประวัติศาสตร์ ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่า หลังจากที่เล่าปี่ยึดเมืองเสฉวนได้นั้น ก็ทำการฉลองความสำเร็จอย่างใหญ่โต และได้นำเอาทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากเล่าเจี้ยงมาแจกจ่ายเป็นรางวัลให้แก่ พรรคพวกดังนี้ กวนอู เตียวหุย ขงเบ้ง ได้รับทองคำแท่งคนละห้าร้อยชั่ง เงินแท่งหนึ่งพันชั่ง เงินเหรียญห้าสิบล้านอีแปะ ผ้าแพรหนึ่งหมื่นพับ และเรือกสวนไร่นาซึ่งมิได้มีผู้ใดจับจองทำมาหากินนั้นให้แบ่งแก่ขุนนางใหญ่ น้อยเป็นกำลังทำราชการสืบไป
แต่ จูล่งคัดค้านว่าเมืองเสฉวนนี้มีศึกราษฎรต่างพลัดพรากจากภูมิลำเนาที่ทำมาหา กิน ซึ่งจะเอาเรือกสวนไร่นามอบให้ขุนนางนั้น ราษฎรซึ่งเป็นเจ้าของก็จะได้รับความเดือดร้อน ท่านจงให้ป่าวร้องไพร่บ้านพลเมืองว่า ภูมิลำเนาและเรือกสวนไร่นาของผู้ใดก็ให้เข้ามาอยู่ทำมาหากินดังเก่า ราษฎรจึงมีความสุขสืบไป เล่าปี่เห็นชอบด้วย ก็ให้ทหารไปประกาศป่าวร้องแก่ราษฎรตามที่จูล่งว่า จากตรงนี้จะเห็นอะไรได้หลายอย่างว่าเล่าปี่นั้นเมื่อสามารถเข้ายึดเมือง เสฉวนได้แล้วก็เริ่มเผยธาตุแท้อีกด้านของตนออกมา หากไม่เพราะจูล่งเป็นผู้ที่ออกมาคัดค้านแบบนั้นราษฎรคงจะได้รับความเดือด ร้อนไปทั่ว
จู ล่งเป็นขุนศึกเพียงไม่กี่คนของยุคนั้นที่ไม่หลวงระเริงไปกับของรางวัลและ เงินทองที่ได้รับ เขาไม่เคยร้องขอสิ่งใดๆ จากเล่าปี่เลย แม้ตนจะมีความชอบมากมายแต่ก็มักไม่พูดถึงความชอบของตนนัก และไม่ชอบโอ้อวดหรือยกตนข่มท่าน เขาไม่เคยโอ้อวดตัวเองหรือขอท้าตีกับคนอื่นที่เป็นพวกเดียวกันแม้แต่ครั้ง เดียว อันเป็นวิสัยที่ตรงข้ามกกับกวนอูอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุ หนึ่งที่ทำให้เขาทำงานต่างๆไม่ค่อยพลาด ทั้งนี้เพราะเขารู้จักที่จะอ่อนน้อมต่อผู้อื่น สุขุมเยือกเย็น และรู้จักใช้สติปัญญา ที่สำคัญเลยคือยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง เหตุนี้เขาจึงเป็นขุนศึกเพียงคนเดียวในจ๊กก๊กของเล่าปี่ที่ขงเบ้งนิยมใช้งาน มากที่สุด เวลาที่ต้องอาศัยคนที่เชื่อใจได้เพราะในยามคับขันที่จำต้องใช้ความกล้าและ ฝีมือรบพุ่งเข้าแก้ไข จูล่งก็มีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใครติดตัว

นายพลพยัคฆ์เดช
จูล่ง เป็นผู้ที่ติดตามเล่าปี่ตลอด แม้จะไม่ได้สาบานเป็นพี่น้องกันเหมือน กวนอูและเตียวหุย แต่ จูล่งก็เรียกกวนอูและเตียวหุยว่า "พี่สองและพี่สาม" แต่กับเล่าปี่ จูล่งจะเรียกว่า "นายท่าน" เล่าปี่ยกย่องจูล่งเป็น หู่เวยเจียงจวุน หรือ นายพลพยัคฆ์เดช ตอนที่เล่าปี่จะสิ้นใจได้เรียก ขงเบ้งเข้าพบ พร้อมกับจูล่ง แล้วทรงตรัสว่า " ท่านกับเรานั้นต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา เเต่มาบัดนี้ ชะตากรรมกำลังพรากเราสอง ขอให้ท่านนึกถึงนำใจเก่าก่อนช่วยเหลือบุตรเราเเละท่านขงเบ้ง ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นอัญเชิญราชวงศ์ฮั่นกลับสู่ราชธานีลกเอี๋ยงด้วย "

หลังจากที่เล่าปี่เสียชีวิตลง จูล่งกลายเป็นเป็นทหารเอกของขงเบ้ง

ตอน ที่ขงเบ้งยกทัพไปที่เขากิสาน แถบราบลุ่มกิก๊ก แม้ว่าทัพจะแตกพ่าย แต่จูล่งพาทหารทั้งกอง กลับมาอย่างปลอดภัย แม้ม้าตัวเดียว ก็ไม่ขาดหายไป โดยเขาปล่อยให้ทัพล่วงหน้าไป 12 กิโล ส่วนตัวเอง คอยเป็นคนระวังหลังอยู่เพียงลำพัง ยามเมื่อกองทัพพ่าย เขารู้ทันทีว่าต้องทำหน้าที่กองระวังหลัง โดยไม่ต้องรอรับคำสั่งจาก ขงเบ้งใน หนังสือสามก๊กพูดถึงตรงนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อตอนที่ขงเบ้งกลับมาถึงค่ายนั้น รู้สึกกังวลใจกับจูล่งที่ตนได้สั่งให้แยกไปปฏิบัติการโดยลำพัง เพราะในขณะที่ทุกทัพถอยกลับมาหมดแล้วยังไม่ได้ข่าวคราวจากทัพของจูล่งเลย จนเมื่อจูล่งกับเตงจี๋นำกองทหารกลับมาโดยที่ไม่เสียไพร่พลแม้แต่คนเดียวนั้น ขงเบ้งถึงกับพิศวงว่า จูล่งทำได้อย่างไร จึงสอบถาม แต่จูล่งไม่สนใจที่จะตอบ โดยพูดในทำนองที่ว่า นั่นไม่ได้เป็นผลงานยิ่งใหญ่แต่อย่างใด เพราะทัพใหญ่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เตงจี๋ทนเฉยไม่ไหวจึงบอกต่อขงเบ้งถึงการกระทำอันห้าวหาญและเปี่ยมด้วยปัญญา ของจูล่งที่นำทหารถอยทัพกลับมาได้ เมื่อขงเบ้งได้ยินแล้ว ก็ถึงกับมีหนังสือคารวะต่อจูล่งว่า เป็นทหารเอกหาผู้เสมอมิได้จากนั้นจึงปูนบำเหน็จให้อย่างงาม แต่จูล่งปฏิเสธที่จะรับและกล่าวว่าขอให้นำทองซึ่งได้เป็นบำเหน็จนี้คืนแก่ท้องพระคลังเถิด และถ้าถึงกำหนดเบี้ยหวัดแล้วจงเอาแจกแก่ทหารทั้งปวงสิ่งนี้ได้แสดงถึงความ ไม่โลภ หรือหลุ่มหลงไปกลับลาภยศ เงินทอง และด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนของจูล่งนี้ หนังสือสามก๊กได้บันทึกว่า นับแต่นั้นไปขงเบ้งก็มีความคารวะจูล่งเป็นอันมาก
เมื่อยามศึกยังสู้แม้ตัวเองแก่แล้ว
มีครั้งหนึ่ง ก่อนรบศึกกับฝ่ายวุยก็ก ช่วงนั้นขงเบ้งเลือกทหารให้ไปรบ แต่กลับไม่เลือกจูล่ง จูล่งในยามนั้นมีอายุได้ 70 กว่า ปีแล้ว ผมขาวไปทั้งหัว หน้าตามีร่องรอยแห่งความชรา แต่ความห้าวหาญและฝีมือรบอันเลื่องลือนั้นยังคงดังเดิม จูล่ง จึงเข้าพบขงเบ้งและถามว่า ทำไมศึกใหญ่แบบนี้จึงไม่มีชื่อตนอยู่ด้วย ขงเบ้งจึงบอกว่า เมื่อครั้งไปปราบเบ้งเฮ็กก็เสียม้าเฉียวซึ่งป่วยหนักไปคนหนึ่งแล้ว บัดนี้ห้าทหารเสือผู้ยิ่งยงแห่งจ๊กก๊กเหลือเพียงจูล่งเป็นคนสุดท้าย และมีอายุมากแล้ว เกรงว่าจะพลาดท่าในสนามรบและทำให้เสียเกียรติประวัติไป  จู ล่งจึงแย้งว่า ข้าทำศึกมาตั้งแต่หนุ่มจนอายุเพียงนี้ ก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใด ในที่สุดขงเบ้งก็ยอมให้จูล่งเป็นแม่ทัพหน้าในการเข้าตีข้าศึกก่อนผู้อื่น และฝ่ายตรงข้ามก้ประจักษ์ถึงอานุภาพของนักรบแก่ที่บั่นหัวขุนพลหนุ่มๆ ถึง ๓-๔ หัวได้ในพริบตา เป็นที่ครั้นคร้ามแก่แม่ทัพนายกองฝ่ายศัตรูยิ่งนัก 

ยอดขุนพลในดวงใจของมหาชน
จูล่งเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 229 หลัง จากที่จูล่งตาย ขงเบ้งได้รำพันออกมาว่า "แขนซ้ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนขาดแล้ว" และเป็นลมสิ้นสติไปด้วยความเสียใจ จูล่ง คือ ยอดขุนพลในดวงใจของมหาชนทั้งหลาย เพราะเป็นคนซื่อสัตย์ ทำการโดยไม่เห็นแก่ลาภยศ แม้แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนหลังได้รับแจ้งว่า จูล่งถึงแก่ความตายแล้วก็ทรงพระกันแสงรำพันไปถึงความหนหลังครั้งที่จูล่ง พิทักษ์รักษาชีวิตของท่านตลอดมา แล้วก็ให้แต่งการศพจูล่งไปฝังไว้ที่สมควร สร้างเป็นศาลเทพารักษ์ไว้บูชามาตราบเท่าทุกวันนี้ พระเจ้าเล่าเสี้ยน ตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังแก่จูล่งเป็น ซุ่นผิงโหวหรือพระยาสามัญนิยม แล้วตั้งให้บุตรจูล่งทั้งสองเป็นทหารผู้ใหญ่

ถ้าจะเป็นนักสู้ จงสู้อย่างจูล่ง
ขุน ศึกที่มิเคยพ่ายศึกแม้แต่ครั้งเดียว มากพร้อมทั้งความสามารถในเชิงยุทธและสติปัญญาในการวางกลอุบาย เป็นขุนศึกที่มีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนและเปี่ยมไปด้วยความสุขุมรอบคอบ ไม่มีข้อด่างพร้อยในเรื่องผู้หญิงเลยสักครั้ง เขาเป็นยอดนักรบที่มีคุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ในยามรบแน่นอนว่า เราไม่อาจเลี้ยงการเข่นฆ่าอริราชศัตรูได้ แต่จูล่ง จะฆ่าเพียงบุคคล 2 พวก เท่านั้น คือคนที่เป็นศัตรูกับคนเลวที่สมควรตาย แต่ในยามปกติขุนศึกผู้นี้เป็นสุภาพชนที่พูดน้อยและนอบน้อมต่อผู้อื่นเสมอ โดยไม่มีลักษณะของนักรบที่เข่นฆ่าผู้อื่นเลย ขุนพล แม่ทัพส่วนใหญ่ มักจะจบชีวิตลงไปกับการต่อสู้ ในสนามรบ แต่ เตียวจูล่งกลับจากไปอย่างสงบ บนเตียงนอนของเขาเอง จึงได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดนักรบ ผู้ซึ่งเริ่มและจบลงอย่างสวยงาม


ถ้าจะเป็นนักสู้ จงสู้อย่างจูล่ง สู้ด้วยเกียรติและอุดมการณ์ คือ อัศวินผู้ขี่ม้าขาว ที่มุ่งหวังกอบกู้บ้านเมืองอย่างมั่นคงแท้จริง รู้ถึงหน้าที่หลักและเป้าหมายหลักของตนเอง การรู้จุดยืนที่แท้จริงนี้ ทำให้เขาเลือกดำเนินการในยุทธภูมิได้อย่างถูกต้อง มีความซื่อสัตย์กตัญญูไม่คิดคดทรยศต่อแม่ทัพนายกอง ไม่อยากเด่นอยากดังหรือลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญ จึงเป็นขุนศึกที่แม่ทัพรักและไว้วางใจที่สุด และเป็นยอดนักรบในตำนานที่อยู่ในใจของมหาชนทั้งหลายตราบเท่าทุกวันนี้

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วัดหนองโว้ง(พระอารามหลวง)

วัดหนองโว้ง(พระอารามหลวง)
ตำบลเมืองบางยม อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

พระวิสัน (พธบ./รปม)

รูปแบบ การวิจัย โดย ผศ.(พิเศษ) นภดล สุชาติ พ.บ M.P.H

อ้างอิงจาก http://www.slideshare.net/guest9e1b8/9-presentation-948269

South East Asia University

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ตัวแบบนโยบายสาธารณะสมัยใหม่

กิจกรรมดูงานเชื่อมสายสัมพันธ์ MPA12and MPA13

Download

เสียงปลง

Nonstop - I'm The Sexy Girl - DJ Back Up